วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

โครงการ...


1. โครงการ “ซอยสีเขียว” ในนครชิคาโก้

เวลานี้เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วไป ล่าสุดโครงการสิ่งแวดล้อมโครงการหนึ่งที่นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ที่มีชื่อว่า ซอยสีเขียว อาจกลายเป็นโครงการที่เมืองต่างๆทั่วโลกคิดอยากทำตามอย่างก็เป็นได้
นครชิคาโกเป็นนครใหญ่อันดับต้นๆ ของอเมริกา มีตรอกซอกซอยต่างๆ มากมายราว 13,000 ซอย ระยะทางรวมประมาณ 3 พันกิโลเมตรซึ่งนับเป็นเมืองใหญ่ที่มีระยะทางรวมของซอยต่างๆ ยาวที่สุดในโลก แต่ซอยส่วนใหญ่ไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบท่อน้ำทิ้งหรือท่อระบายน้ำของเมืองนะครับ จึงเกิดน้ำท่วมขังตามซอยได้ง่ายเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กองการขนส่งของนครชิคาโกประกาศโครงการซอยสีเขียว คือการปรับปรุงพื้นผิวถนนและลดปริมาณน้ำท่วมขังตามซอยต่างๆ ด้วยการใช้วัสดุปูพื้นถนนใหม่ที่น้ำสามารถซึมผ่านลงไปใต้ดินได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงานแล้ว ยังช่วยลดอุณหภูมิความร้อนภายในเมืองได้ด้วย วัสดุใหม่ที่ว่านี้มีทั้งแบบที่ผสมเป็นยางมะตอยหรือคอนกรีตหรือก้อนอิฐปูพื้นที่น้ำสามารถซึมผ่านผิวได้ถึง 80% อีกทั้งยังมีสีอ่อนที่ช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ ไม่อมความร้อน ซึ่งจะช่วยระบายไอร้อนที่มักจะสะสมอยู่ตามเมืองใหญ่ที่มีตึกรามบ้านช่องและรถยนต์หนาแน่น วัสดุใหม่นี้มีความแข็งแรงทนทานในระดับที่สามารถรองรับน้ำหนักรถบรรทุกหรือรถขนขยะที่วิ่งเข้าออกในซอยได้ดี อย่างไรก็ตาม วัสดุปูถนนแบบใหม่ไม่อาจใช้กับถนนที่รถวิ่งพลุกพล่าน การจราจรคับคั่งได้ เพราะน้ำหนักที่มากเกินไปอาจทำลายพิ้นผิวถนนได้ง่าย
นอกจากนี้ โครงการซอยสีเขียวในนครชิคาโก ยังใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และหลอดไฟประหยัดพลังงานมาทำเป็นโคมไฟตามถนน และจะสนับสนุนให้มีพื้นที่สีเขียวเล็กๆ ตามทางเดินในซอยและบนดาดฟ้าหลังคาบ้านต่างๆ มากขึ้น คุณ Janet Attarian หัวหน้าโครงการซอยสีเขียวบอกว่า เพียงแค่ 6 เดือนแรกของการนำวัสดุปูพื้นถนนแบบน้ำซึมผ่านได้มาใช้ ค่าใช้จ่ายในการปูพื้นถนนก็ลดลงถึง 60% และภายในสิ้นปีนี้ จะมีการปรับปรุงพื้นผิวถนนตามซอยต่างๆ อย่างน้อย 62 ซอย
สำหรับท่านผู้ฟังที่สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการซอยสีเขียวในนครชิคาโก สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ voaspecialenglish.com
____________________________________________________________________________



2. โค้กรับกระแส ‘’สีเขียว‘’ ปรับธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ธุรกิจใหญ่น้อยในโลกต่างกำลังให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่เว้นแม้แต่บริษัท โคคา โคล่า จำกัด (โค้ก) ผู้ผลิตน้ำอัดลมรายใหญ่ที่สุดในโลกก็ดำเนินกลยุทธ์การรักษาสิ่งแวดล้อมกับเขาด้วยเช่นกัน
เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท โค้ก นอร์ธ อเมริกา จำกัด ประกาศว่าจะทดลองเปลี่ยนขวดบรรจุน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวดแบรนด์ ดาซานี่ ให้เป็นขวดประเภท แพลนต์บอตเทิล (Plant Bottle) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นภายในปีนี้ และจะเปลี่ยนขวดบรรจุน้ำผสมวิตามินแบรนด์ วิตามินวอเตอร์ ภายในปี 2553
แพลนต์บอตเทิลซึ่งเป็นขวดบรรจุผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ของโค้กยังคงวัตถุดิบที่มาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 30% แต่จะมีส่วนผสมของวัตถุดิบจากพืชเช่น ต้นอ้อย และกากน้ำตาล ประมาณ 30% นอกจากนั้นบริษัทก็กำลังทำวิจัยหาวัตถุดิบจากพืชชนิดอื่นๆเข้ามาใช้เป็นส่วนผสมอีกทางหนึ่ง
ปัจจุบันขวดบรรจุเครื่องดื่มของโค้กเป็นพลาสติกที่ผลิตขึ้นมาจากปิโตรเลียม ที่เรียกว่าโพลีเอธิลีน เทเรฟทาเลท (polyethylene terephthalate) หรือขวด เพ็ท (PET) ซึ่งสามารถนำไปรีไซเคิลได้แต่จะมีต้นทุนสูงและมีความซับซ้อนในการดำเนินการ ซึ่งหากไม่นำขวดเพ็ทไปรีไซเคิลมันจะใช้เวลานานมากในการย่อยสลายไปตามธรรมชาติ
ขวดบรรจุเครื่องดื่มชนิดใหม่ที่โค้กกำลังจะทดลองตลาดนี้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ทั้งยังมีราคาในการผลิตเท่าๆกับขวดเพ็ทอีกด้วย
โค้กเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าที่ผลิตขวดพลาสติกออกสู่ตลาดมากที่สุดในโลก สถาบันคอนเทนเนอร์ รีไซคลิง องค์กรไม่หวังผลกำไรเพื่อสิ่งแวดล้อมระบุว่าทุกๆสัปดาห์ลูกค้าของโค้กจะทิ้งขวดเพ็ทประมาณ 1,000 ล้านขวด และมีขวดเพียง 18-23% เท่านั้นที่ถูกนำไปรีไซเคิล นายมุห์ตา เคนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของโค้ก กล่าวว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้าการริเริ่มอย่างสามัญของโค้กจะกลายเป็นคอนเซ็ปต์ของการรีไซเคิลทั้งมวล
นอกจากนั้นโค้กยังได้ร่วมมือกับบริษัท อีคอส คอนซัลติ้ง จำกัด บริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งในมลรัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา จัดตั้งเว็บไซต์ศูนย์ความมั่นคงของทรัพยากรเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต สำหรับร้านอาหารที่จำหน่ายเครื่องดื่มซอฟต์ดริงก์ของโค้กสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพื่อลดการใช้พลังงานและทรัพยากรน้ำในการดำเนินธุรกิจของตน
อีคอสได้จัดทำระบบประเมิน 3 ขั้นตอน ที่ช่วยร้านอาหารประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของตนได้ ซึ่งเว็บไซต์ดังกล่าวระบุว่าร้านอาหารเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใช้พลังงานมากที่สุดในโลก โดยเมื่อเทียบอัตราการใช้พลังงานต่อพื้นที่ 1 ตารางฟุต ร้านอาหารจะมีสัดส่วนการใช้พลังงานสูงกว่าอาคารพาณิชย์ทั่วไปถึง 5 เท่า นายเดวิด ไวเกิล รองประธานฝ่ายการตลาดของอีคอส กล่าวว่าในช่วงที่ผ่านมาร้านอาหารและเชนร้านอาหารหลายแห่งได้ขอคำแนะนำจากโค้กในการพัฒนาธุรกิจของตนให้เป็น ธุรกิจสีเขียว
แนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของโค้กและให้ความช่วยเหลือร้านอาหารที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้สามารถดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่น่าจับตามองถึงผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและธุรกิจของโค้กได้มากน้อยเพียงใด



ไม่มีความคิดเห็น: